“ตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อแบบอัตโนมัติ”รักษามะเร็งตรงจุด เพิ่มโอกาสหายจากโรค
“โรคมะเร็ง” เป็นโรคที่ใช้ระยะเวลานานหลายปีในการก่อเกิด
ทำให้หลายคนกว่าจะรู้ตัวก็เป็นมากแล้ว ทั้ง ๆ
ที่มะเร็งเป็นโรคที่ป้องกันและสามารถรักษาให้หายขาดได้
หากได้รับการตรวจวินิจฉัยพบโรคตั้งแต่แรกเริ่มที่เป็น!!
ศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ วรรณไกรโรจน์
รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะแพทยศาสตร์
ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก ในทวีปเอเชีย
อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งคาดว่าจะสูงขึ้นถึงร้อยละ 60 โดยภาย ในปี พ.ศ. 2563
โรคมะเร็งจะคร่าชีวิตประชากรกว่า 7.6 ล้านคนในแต่ละปี
และคาดว่าตัวเลขนี้จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับในประเทศ
ไทยพบผู้ป่วยใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งมีถึง 112,000
คนต่อปี
ด้านการวินิจฉัยโรค แพทย์ต้องอาศัยผลการตรวจพิเศษ คือ
การนำชิ้นเนื้อไปตรวจโดยการย้อมน้ำยาเพื่อตรวจเฉพาะหรือการย้อมสีด้วยมือ
จากนั้นนำมาดูผ่านกล้องไมโครสโคป
ซึ่งจะต้องกระทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง คือ
นักพยาธิวิทยาเป็นผู้ทำการตรวจ ใช้ระยะเวลาประมาณ 36 ชั่วโมง
จึงจะทราบผลตรวจ ซึ่งวิธีนี้มีโอกาสเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในผลตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อ
ซึ่งการตรวจวินิจฉัยที่ไม่แม่นยำนั้น ทำให้ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ตรงจุด
มีผลให้โรคของผู้ป่วยดำเนินต่อไปจนถึงขั้นรุนแรงได้
แต่ในปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางการตรวจวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง
ได้มีการคิดค้น
ระบบการตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อแบบอัตโนมัติและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ที่เรียกว่า เฮอร์ 2 ดิช เป็นเครื่องย้อมสีชิ้นเนื้ออัตโนมัติ
เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้ผลตรวจได้ภายใน 12 ชั่วโมง
และให้ผลตรวจที่แม่นยำรวดเร็วกว่าการตรวจโดยมนุษย์
แม้จะยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีความแม่นยำในการตรวจร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ก็ถือว่ามีความแม่นยำสูง
ซึ่งทำให้แพทย์สามารถทำการรักษาโรคได้อย่างตรงจุด
และลดอัตราการเสียชีวิตจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้
ศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ อธิบายถึงการตรวจเพิ่มเติมว่า
การตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อด้วยวิธีนี้จะนำชิ้นเนื้อหรือตัวอย่างเซลล์จากการ
ผ่าตัดหรือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
ซึ่งจะมีการวิเคราะห์จากลักษณะของเซลล์หรือชิ้นเนื้อของผู้ป่วยที่เห็นได้
ทางสายตา เพื่อระบุว่าเป็นโรคในระยะใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการตรวจหาเซลล์มะเร็ง
ตัวอย่างเซลล์ที่นำมาตรวจเหล่านี้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการทางห้องปฏิบัติการ
พยาธิวิทยาและตัดวางลงบนสไลด์แก้วเพื่อส่องดูผ่านกล้องไมโครสโคป
เพื่อวิเคราะห์ลักษณะซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง
เป็นผู้ทำการตรวจวินิจฉัยตัวอย่างชิ้นเนื้อผ่านทางกล้องไมโครสโคปนี้
“การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อ สามารถวินิจฉัยโรคและให้ข้อมูลว่า
โรคนั้นดำเนินไปถึงระยะใด รวมทั้งใช้คาดการณ์ได้ว่า
ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีใด
สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อนั้นสามารถบอกได้ว่า
ตัวอย่างที่ตรวจนั้นมีความผิดปกติหรือไม่ หากผิดปกติ
ก็จะดูว่าเป็นการติดเชื้อหรือเป็นเนื้องอก
ซึ่งหากเป็นเนื้องอกจะใช้ดูต่อว่าเป็นเนื้องอกชนิดใด มีจุดกำเนิดที่ใด
และเป็นเนื้องอกประเภทธรรมดาหรืออันตรายเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่”
นอกจากนั้น เมื่อมีการติดตั้งระบบการตรวจแบบอัตโนมัติ
ก็จะทำให้สามารถกระทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการได้อย่างแม่นยำในที่ใดก็ได้ใน
ประเทศ
เนื่องจากการตรวจแบบอัตโนมัตินี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและ
อุปกรณ์พิเศษในโรงพยาบาลและห้องปฏิบัติการมากเท่าระบบเดิม
ซึ่งในประเทศไทยเรายังมีความแตกต่างกันในด้านความพร้อมของโรงพยาบาลต่าง ๆ
ความก้าวหน้าอีกประการหนึ่ง คือ
การพัฒนาการวินิจฉัยโดยใช้ตัวชี้วัดในชิ้นเนื้อจะช่วยให้แพทย์สามารถเลือก
ใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ตามหลักการรักษาที่เรียกว่า
การรักษาเฉพาะบุคคล
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อแพทย์สามารถทราบถึงชนิดของโรคมะเร็งอย่างเฉพาะ
เจาะจงด้วยการดูยีนหรือโปรตีนที่มีอยู่ในเซลล์เนื้องอกนั้น ๆ
โดยตัวชี้วัดในชิ้นเนื้อนี้
จะสามารถใช้เพื่อระบุถึงชนิดและลักษณะของชิ้นเนื้อได้
ทำให้แพทย์สามารถให้ยาหรือวิธีการรักษากับผู้ป่วยได้ด้วยความมั่นใจว่าผู้
ป่วยจะตอบสนองต่อยาได้เป็นอย่างดี
การตรวจด้วยวิธีนี้ เบื้องต้นยังสามารถตรวจวิเคราะห์หาเซลล์มะเร็งได้ 2
ชนิด คือ มะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหาร
โดยการตรวจนี้ช่วยให้แพทย์ทราบได้ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งชนิดใดอย่างเฉพาะ
เจาะจงและจะตอบสนองต่อการรักษาแบบใดได้ดีที่สุด
ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ไม่ต้องลองผิดลองถูกในการรักษา ซึ่งเป็นการเสียเวลา เงิน
และทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งไม่ต้องจบชีวิตทุกราย
หากสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้ในระยะแรกเริ่มและได้รับผลการวินิจฉัยที่รวด
เร็ว แม่นยำ ส่งผลให้ได้รับการรักษาที่ตรงกับโรคและเหมาะสม
เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และในบางรายมีโอกาสหายจากโรคร้ายได้.
.........................................
เคล็ดลับสุขภาพดี : “น้ำมันมะกอก” มีคุณประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้
หากเอ่ยถึง “มะกอก”
คนไทยมักนึกถึงมะกอกที่นำมาจิ้มพริกกะเกลือแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
หรือมะกอกที่นำมาใส่กับส้มตำ
แต่ว่าเป็นคนละสายพันธุ์กันกับมะกอกของฝรั่งที่นำมาสกัดน้ำมันมะกอก
โดยมะกอกพันธุ์นี้สามารถปลูกได้ดีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ด้านตะวันตกของอเมริกา อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย
ซึ่งน้ำมันมะกอกมีคุณประโยชน์มากมายที่เคล็ดลับสุขภาพดีจะมาแนะนำให้ทราบกัน
จากผลงานการวิจัยของ Charbonnier กล่าวไว้ว่า
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันชนิดที่ทนทานต่อกระเพาะได้มากที่สุด
เนื่องจากมีกรดโอเลอิคอยู่ในปริมาณสูง
จึงมีผลในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการอักเสบที่กระเพาะและลำ
ไส้ตอนต้น จึงถือว่าเป็นคุณสมบัติในเชิงป้องกันโรค
ซึ่งจากการทดลองโดยการเปลี่ยนน้ำมันมะกอกแทนไขมันสัตว์ในอาหารของผู้ป่วยที่
เป็นโรคเรื้อรัง ปรากฏว่าคนไข้จำนวน 33% สามารถลดอาการของบาดแผลลงได้
และอีก 55% ก็ลดการรักษาที่ทำให้เกิดแผลเป็นได้อีกด้วย
แต่การใช้น้ำมันมะกอกช่วยบำบัดต้องควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา
นอกจากน้ำมันมะกอกจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารแล้วยังเป็นผลดีต่อลำไส้ด้วย
โดยการรับประทานน้ำมันมะกอกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
ก่อนรับประทานอาหารเช้าขณะกระเพาะว่างจะช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคท้องผูก
เรื้อรังมีอาการดีขึ้น ที่สำคัญยังมีประโยชน์ต่อระบบน้ำดี
เพราะน้ำมันมะกอกเป็นผลดีอย่างมากต่อการอ่อนแอของถุงน้ำดี
เนื่องจากน้ำมันมะกอกจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รวดเร็ว
นุ่มนวลและเนิ่นนานกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับยาและอาหารอื่น ๆ
ทั้งหลายที่ใช้รักษาอาการดังกล่าว
โดยน้ำมันมะกอกจะช่วยยับยั้งการหลั่งน้ำดีจากตับในระหว่างที่ถุงน้ำดีไม่
เกิดการสะสม จึงทำให้ได้น้ำดีที่บริสุทธิ์และมีคุณสมบัติทางยา
สำหรับคุณสมบัติของน้ำมันมะกอกในการนำมาใช้ในการทอดอาหารนั้น Fedeli
ได้ทำการทดสอบความคงสภาพของน้ำมันมะกอก โดยการทอดด้วยอุณหภูมิสูง และ
Varela ก็ได้ทำการพิสูจน์โดยทดลองทอดเนื้อ ทอดปลาซาร์ดีนด้วยน้ำมันมะกอก
ผลปรากฏว่าประสิทธิภาพการย่อยอาหารจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
แม้ว่าจะใช้น้ำมันนั้นทอดซ้ำ ๆ กันเกินกว่า 10 ครั้งขึ้นไปก็ตาม
การวิจัยนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอด
อาหารมากที่สุด
เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าน้ำมันชนิดอื่นใด
อย่างไรก็ตามน้ำมันมะกอกยังสามารถช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้
อีกด้วย เพราะมีปริมาณของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง
ขณะเดียวกันก็ยังมีสัดส่วนของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่สมดุลเหมาะสมต่อการ
ป้องกันโรค โดยมีส่วนประกอบของอัลฟา-โทโคเฟอรอล
หรือโพลีฟินอลที่ทำหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระ
หลักโภชนาการนี้ได้รับการยืนยันจากการทดลองและงานวิจัยโรคระบาดแล้วว่า
สามารถป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้น เลือดและช่วยควบคุมพลาสมาคอเลสเตอ
รอลให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
โดยไม่มีความเสี่ยงในเรื่องผลข้างเคียงแต่อย่างใด
ดังนั้นน้ำมันมะกอกจึงถือเป็นน้ำมันมหัศจรรย์ที่นอกจากจะใช้ในการเสริมความ
งามแล้วยังนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเพื่อสุขภาพและช่วยป้องกันรักษาโรคได้
อีกด้วย
เมื่อทราบอย่างนี้แล้วอย่าลืมเลือกน้ำมันมะกอกมาใช้อย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพ
ที่ดีของเรานะคะ
(ข้อมูลจาก โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี)
ที่มา เดลินิวส์
Friday, June 1, 2012
“ตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อแบบอัตโนมัติ”รักษามะเร็งตรงจุด เพิ่มโอกาสหายจากโรค
2:46 AM
Unknown

0 comments:
Post a Comment